หัวข้อ
Linearity [1]
"linear" มาจากภาษาละติน "linearis" หมายถึง เหมือนหรือสัมพันธ์กับเส้นตรง ในทางคณิตศาสตร์มอง linearity คือรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร เมื่อนำมา plot graph แล้วจะมองได้ว่าเป็นเส้นตรง ถ้าพิจารณาสัดส่วนระหว่างตัวแปรก็จะมีแนวโน้มเข้าหาค่าคงที่ค่าหนึ่ง ตัวอย่างข้อมูลในตารางที่ 1 คือส่วนหนึ่งของข้อมูลของความสูง (ซม.) กับ น้ำหนัก (กก.) ของเด็กกลุ่มหนึ่ง กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความสูงและน้ำหนักแสดงในรูปที่ 1 โดยใช้ข้อมูลจาก 30 คน
ตารางที่ 1 : ตัวอย่างข้อมูลแสดงความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักกับความสูง
น้ำหนัก (กก.) |
ความสูง (ซม.) |
50.0 | 141.9 |
51.0 | 148.7 |
52.1 | 146.6 |
53.1 | 153.9 |
54.1 | 148.7 |
55.2 | 151.9 |
56.2 | 150.1 |
57.2 | 150.8 |
58.3 | 148.9 |
59.3 | 150.9 |
... |
... |
 |
รูปที่ 1 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความสูงกับน้ำหนัก |
ในรูปที่ 1 จุดสีน้ำเงินแทนข้อมูลที่มาจากตาราง ข้อมูลที่เก็บมาจากสภาพในธรรมชาติจริงมักไม่เรียบเหมือนกับข้อมูลที่เกิดขึ้นตามทฤษฎี แต่จะมีแนวโน้มเป็นไปตามทฤษฎี จึงสร้างเส้นตรงสีแดงเพื่อช่วยทำให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบของเส้นตรง หรือมี linearity
ภาพของแนวโน้มนี้จะชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีจำนวนข้อมูลมากขึ้น ดูได้จากรูปที่ 2 ความชัดเจนของ linearity มีมากขึ้นเมื่อใช้ข้อมูลจาก 1000 คน
 |
รูปที่ 2 ลักษณะความสัมพันธ์แสดงให้เป็นรูปแบบเส้นตรงชัดขึ้นเมื่อจำนวนตัวอย่างเพิ่มขึ้น |
Linear equation [2]
พิจารณาตัวอย่างการทำ Green Smoothie 1 แก้ว มีส่วนผสมดังนี้
- ผักโขม 2 ถ้วยตวง
- น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
- เนื้อมะม่วง 1 ถ้วยตวง
- เนื้อสัปรด 1 ถ้วยตวง
- กล้วย 1 ผล
เราอาจเขียนสูตรนี้ใหม่ในรูปแบบของสมการเชิงเส้น (linear equation) ได้ดังนี้
หรือ
เมื่อ แทนจำนวนแก้วของ Green smoothie
แทน spinach,
แทน water,
แทน mango ,
แทน pineapple และ
แทน banana
สมการ (1.1) อยู่ในรูปแบบของ linear form หรือ linear equation ช่วยให้เราสามารถจัดการกับปริมาณวัตถุดิบที่จะใช้หรือปริมาณของ Green Smoothie ที่จะได้เมื่อทราบจำนวนของวัตถุดิบ เช่น ถ้าต้องการ Green Smoothie จำนวน 50 แก้ว การคำนวณหาปริมาณวัตถุดิบที่ต้องการทั้งหมดคือการด้วย 50 เข้าไปใน (1.1) ก็จะได้จำนวนวัตถุดิบแต่ละชนิดที่ต้องการ
ทำให้เราสรุปรูปแบบทั่วไปของ linear equation ได้ดังนี้
เรียก ว่า unknown variables , ว่า parameters หรือ coefficients
System of linear equations
เป็นการขยายความต่อจากตัวอย่างการผลิต Green Smoothie สมมุติมีโรงงาน A ผลิตและจำหน่ายสินค้า n ชนิด สินค้าแต่ละชนิดใช้วัตถุดิบ m ชนิดในปริมาณที่ต่างกัน
ถ้าให้ แทนจำนวนหน่วยของสินค้าชนิดที่ 1 ,2, 3,...,n ที่จะผลิตได้
ให้ แทนจำนวนของวัตถุดิบแต่ละชนิดที่ใช้ต้องใช้ในการผลิตสินค้า
ให้ แทนจำนวนหน่วยของวัตถุดิบที่ m ใช้ในการผลิตสินค้า n
จากข้อมูลนี้นำมาเขียน linear equation ของการผลิตสินค้าชนิดต่างๆ ดังนี้
collection ของ linear equations ในระบบหนึ่งลักษณะนี้เราเรียกว่า System of linear equations
สังเกตุจะพบว่า จะคูณด้วย และ จะคูณด้วย แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึง จะคูณด้วย นั่นคือ system of linear equations อาจถูกเขียนในแบบของ vector - scalar multiplicationได้ดังนี้
หรือ แปลงให้อยู่ในรูปแบบของ matrix dot operation ( มองว่า vector เป็น column matrix)
สมการ (2.2) อาจถูกเรียกว่า ฟังก์ชั่นเป้าหมาย (objective function)
Linear function [3,4]
สมมุติว่าทราบความสัมพันธ์บางอย่างของ unknown variable 3 ตัว ในรูปแบบ นั่นคือ
หมายความว่าหากเราทราบค่าของ a และ c แล้ว ก็จะสามารถหาค่าของ b ได้ หรือหากทราบค่าของสองตัวแปรใดๆ จะหาค่าของตัวแปรที่เหลือได้ ถ้ามองในมุม function a,c คือ input และ b คือ output ความสัมพันธ์ในรูปแบบของ function เขียนได้ดังนี้
ทำนองเดียวกัน linear equation (1.3) ก็ถูกมองในรูปแบบของ function ได้โดยทุก unknown variables คือ input ของ function สมการ (1.3) เขียนใหม่ได้เป็น
เรียกว่า (3.1) ว่า linear function เมื่อนำแนวคิดเรื่อง vector dot product [5] มาใช้กับสมการ (3.1) จะเขียนใหม่ได้เป็น
เราทราบว่า และ จึงสรุปได้ว่า linear function คือ function ที่ map จาก set ของ n-vectors ไปสู่ set ของ real number
Linear mapping [6]
คำว่า "mapping" คือ กฎที่ใช้ระบุการจับคู่สมาชิกใดๆของ set หนึ่งไปยังอีก set หนึ่งในลักษณะแบบ many to one ซึ่งเป็นความหมายเดียวกันกับ "function" [7] เพียงแต่เมื่อกล่าวในบริบทของ linear mapping จะใช้กับการโยงระหว่าง vector space แทน set
ถ้า T คือ function หรือ mapping ระหว่าง vector space V ไปยัง vector space W เขียนแทนด้วย สำหรับ แล้ว T ต้องสอดคล้องกับคุณสมบัติสองข้อคือ
ถ้ามี จะสามารถเขียน ในรูปแบบของ span คือ เมื่อ คือ basis vectors ของแต่ละแกนบน plane เช่น
นั่นคือ
พิจารณาสมการ จะเห็นว่าสามารถมองในรูปแบบของ matrix-vector multiplication ได้ คือ
เรียก A ใน (4.2) ว่า Transform Matrix
ตัวอย่าง ต้องการหา vector ที่ตั้งฉากกับ ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา
จากกำหนดให้ ทำให้ทราบว่า คือ basis ของ dimension ที่ 1 และ 2 ตามลำดับ
พิจารณา vector ที่ตั้งฉากกันในทิศตามเข็มนาฬิกาคือ
พิจารณา vector ที่ตั้งฉากกันในทิศตามเข็มนาฬิกาคือ
นำไปแทนค่าตาม target vector ที่ได้ก็คือ
ตัวอย่าง ถ้ามี และ จะสามารถสร้าง ที่ได้จาก การทำ linear mapping ดังนี้
ในกรณีนี้ คือ นำ ไปวาดลงบน plate จะเห็นว่าตั้งฉากกัน นั่นคือ T ในตัวอย่างนี้คือการ map ไปหา orthogonal vector
 |
รูปที่ 3 |
ตัวอย่าง จากตัวอย่างก่อนหน้า จงพิสูจน์ว่า สอดคล้อง
กับคุณสมบัติของ linear mapping หรือไม่
พิสูจน์ว่า สมมุติให้
(4.3) = (4.4) สอดคล้องกับคุณสมบัติข้อแรก
พิสูจน์ว่า สมมุติให้
(4.5) = (4.6) สอดคล้องกับคุณสมบัติข้อแรก
ตัวอย่าง Transform matrix linear mappings
การทำ linear mapping ด้วย matrix transform จะพบได้บ่อยในงานด้าน image processing , computer vision และ neural network ตัวอย่าง transform matrix แสดงในตารางที่ 2 [8] เช่น
ตารางที่ 2 ตัวอย่าง transform matrix สำหรับ linear mapping ในงาน computer graphic
Transformation | Matrix | Note |
Scaling | | |
Rotation | | |
Shearing | | |
ตัวอย่างการทำ linear mapping ด้วย rotation matrix ด้วยมุม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นดังรูปที่ 4 และ 5 input vectors แทนด้วยสีแดง output vectors แทนด้วยสีฟ้า จะสังเกตุเส้นประซึ่งแสดงให้เห็นการเปลี่ยนตำแหน่งของของรูปสี่เหลี่ยมมีการหมุนหรือการย้ายตำแหน่ง โดยที่สัดส่วนไม่ได้มีการเปลี่ยน
 |
รูปที่ 4 ผลของการใช้ rotation matrix |
 |
รูปที่ 5 ผลของการใช้ translation matrix |
การใช้ linear mapping ในการเปลี่ยน color space ของภาพ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ภาพ จาก Red Green Blue (RGB) color space [11] ไปยัง Luminance, Chrominance (YCbCr) [12] โดยใช้สมการ
 |
รูปที่ 6 ภาพที่แสดงด้วย YCrCb (บน) และ RGB (ล่าง) แยกตาม channel |
จากรูปที่ 6 ภาพที่ใช้ RGB colorspace (3 ภาพล่าง) เมื่อแยกออกมาแสดงเป็นแต่ละ channel (Red, Gree, Blue) แล้ว จะเห็นว่ามีความแตกต่างน้อย ในขณะที่ภาพที่ใช้ YCbCr colorspace (3 ภาพบน) จะแสดงความแตกต่างกันในแต่ละ channel (Y,Cr,Cb) ได้ชัดเจนกว่า
Translation
Translation เป็น linear mapping แบบหนึ่ง ที่อยู่ในรูปแบบ โดยที่ เมื่อ เป็น vector ที่ไม่เปลี่ยนแปลง (fixed vector) ตัวอย่างแสดงในรูปที่ 7 set ของ vector เดิมแทนด้วยสีแดง set ของ vector ที่ถูก translate แทนด้วยสีน้ำเงิน
 |
รูปที่ 7 แสดงการ translate ด้วย |
Affine mapping [9,10]
Affine mapping หรือ affine function คือ function ที่มีกิจกรรมสองอย่างคือ linear mapping และ translation รูปแบบทั่วไปคือ
เมื่อ M คือ linear transform matrix (linear mapping matrix) และ คือ translation vector
โดยนิยามแล้ว ทุก linear function ถือว่าเป็น affine function แต่ไม่ทุก affine function จะเป็น linear function พิสูจน์ได้จาก ถ้ากำหนดให้
แล้วจะได้
ในขณะที่
จะเห็นได้ว่า ในกรณีของ affine function
ตัวอย่างการสร้าง affine function ที่ประกอบด้วย linear function คือการทำ shearing ด้วย (ดูตารางที่ 2) และ translation ด้วย ของลุ่ม vector
 |
รูปที่ 8 linear mapping ด้วย shearing (ซ้าย) affine mapping ด้วย shearging และ translation (ขวา) |
ด้วยวิธีการของ augmatation เราสามารถเขียนสมการนี้ใหม่ได้ด้วย
vector ที่เหลือก็สามารถจัดการด้วยวิธีการเดียวกันได้ ผลที่ได้ดูจากรูปที่ 8
Affine function ใน perceptron
perceptron เป็นพื้นฐานของ neural network ใน perceptron มี 2 functions ทำงานร่วมกัน คือ accumulation function และ activation function [13] ในส่วน accumulation function คือ
ถ้าให้ x ,b เป็น vector และ w เป็น matrix เราก็สามารถเขียนในรูปแบบของ operation ระหว่าง matrix กับ vector ได้
จะเห็นว่า ก็คือ affine function นั่นคือภายใน neural network (ไม่นับ learning algorithm ) คือ affine function กับ activation function
Projection transformation
Projection เหมือนกับการเกิดเงาของคนบนกำแพง หากเทียบคนกับ vector แล้วกำแพงเทียบกับ axis หรือ plane เงาของคนบนกำแพงหรือพื้นก็คือ projection vector ของคน
 |
รูปที่ 9 เงาของคนบนกำแพงเทียบได้กับ projection vector |
ใน 2 D space , ถ้า projection ของ บน X - axis คือ แล้ว จะได้
หรืออาจเขียนให้อยู่ในรูปของ linear transformation คือ
ทำนองเดียวกัน projection vector บน Y-axis หาได้จาก
สรุปคือ transform matrix สำหรับ บน X-axis คือ และบน Y-axis คือ
 |
รูปที่ 10 projection บน x-axis หรือ y-axis |
ใน 3 D space หรือมากกว่า หลักการยังคงเหมือนเดิมแต่ projection vector จะเป็น vector บน plane ไม่ใช่บน axis
 |
รูปที่ 11 projection vector ที่มี dimension มากกว่า 2 จะอยู่บน plane |
ถ้ามี projection ที่เกิดขึ้นจะอยู่บน plane ได้ทั้ง plane คือ x-y, x-z, หรือ y-z
บน plane x-y
บน plane x-z
บน plane y-z
กลับไปเทียบกับเรื่องของเงา เงาของคนเป็นภาพที่เกิดบนพื้นผิว 2 มิติ และหากเราใช้การสังเกตุเงาแทนการสังเกตุที่ตัวคน กริยาที่สังเกตุได้จากเงาจะสอดคล้องกับกริยาที่คนกระทำ นั้นคือเราสามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจากภาพ 2 มิติแทนการสังเกตุภาพที่เกิดใน 3 มิติได้ การทำ projection ไปบน plane หรือ a-xis ก็คล้ายกัน projection ที่เกิดขึ้นจะมีมิติลดลงจาก vector เดิมแต่เราก็ยังสามารถนำมาใช้งานและผลที่ได้มาก็ยังสอดคล้องกับผลที่จะเกิดขึ้นกับ vector จริงอยู่
Reflection across a line
เมื่อแสงอาทิตย์ส่องมายังพื้นผิวที่สะท้อนแสงได้ก็จะเกิดการสะท้อนของแสงขึ้น (reflection) แสงที่ตกกระทบกับแสงสะท้อนจะทำมุมกับเส้นตรงที่ตั้งฉากกับพื้นผิวด้วยมุมที่เท่ากัน
 |
รูปที่ 12 |
ในทาง linear transform หากต้องการหา reflection vector ด้วยการใช้ matrix transform เราจำเป็นต้องหา matrix นั้นก่อน
กำหนดให้เส้นตรง บน 2D space แทนด้วยสมการ และมี ที่ไม่อยู่บนเส้นตรง (ดูรูปที่ 13) เทียบกับรูปที่ 12 แล้ว คือ orthogonal line คือ แสงอาทิตย์ที่ตกลงมา (แต่เราจะพิจารณาในทิศทางตรงข้าม) การจะหา reflection ของ รอบ จำเป็นต้องหาส่วนที่หายไปก่อน คือ สิ่งที่เทียบได้กับพื้นผิวสะท้อนแสง
 |
รูปที่ 13 |
เราทราบว่า เส้นตรงสองเส้นที่ตั้งฉากกัน เมื่อเอาความชันมาคูณกันจะได้ผลลัพธ์เป็น -1 นั่นคือ คือเส้นตรงที่ตั้งฉากกับ (รูปที่ 14)
 |
รูปที่ 14 |
กำหนดให้ M เป็น Transform matrix ที่ใช้คำนวณหา reflection vector ในระบบ 2D space แล้ว จะได้ว่า
พิจารณาเส้นตรง , เมื่อ x =1 แล้ว y = m นั่นคือ จะต้องอยู่บนเส้นตรง และ reflection vector ของ ก็ต้องเป็น (นึกถึงการฉายไฟฉายใส่กระจกโดยที่แนวของไฟฉายตั้งฉากกับกระจก) ดังนั้น
พิจารณาเส้นตรง , เมื่อ x = -m แล้ว y = 1 นั้นคือ จะอยู่บนเส้นตรง ทำให้เราทราบต่อไปว่า คือ reflection vector ของ (ดูรูป 15)
 |
รูปที่ 15 |
นั่นคือ
จาก (9.0) และ (9.1) นำไปสู่ข้อสรุป
แก้สมการ (9.2) เพื่อหา transform matrix M
ประเด็นต่อเนื่องจาก (9.3) เมื่อ
- เส้นตรง ขนานกับ x - axis ความชันของเส้นตรง (m) = 0, M =
- เส้นตรง ทำมุม กับ x - axis ความชันของเส้นตรง (m) = 1, M =
- เส้นตรง ทำมุม กับ x - axis ความชันของเส้นตรง (m) = , M =
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น