Basic Calculus : Differentiation และ Derivative


Derivative และ Differentiation

รูปที่ 1 แสดงกราฟจากสองฟังก์ชั่นคือ f(x)=x แสดงด้วยเส้นสีส้ม เป็นเส้นตรง และ f(x)=x2 แสดงด้วยเส้นสีฟ้าเป็นเส้นโค้ง


รูปที่ 1

การคำนวณหาความชัน (slope) ของกราฟที่เป็นเส้นตรงสามารถคำนวณได้จากสมการข้่างล่าง ซึ่งจะมีค่าเดียวตลอดช่วงที่แสดง (1.0)slope=y2y1x2x1


ในขณะที่การหาความชันของกราฟที่เป็นเส้นโค้งจะทำแบบเดียวกันไม่ได้ เพราะความชันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงที่แสดง ความชันที่ตำแหน่ง P ไม่เท่ากับความชันที่ตำแหน่ง Q (ดูได้จากเส้นสีเขียว) ดังนั้นความชันของเส้นโค้งจะใช้การบอกความชัน ณ จุดนั้นๆ


แนวคิดของการหาความชัน ณ จุดใด ๆ บนเส้นโค้ง ใช้การจินตนาการว่าถ้าเลื่อนจุด Q เข้าใกล้จุด P มากๆ จนระยะห่างระหว่างกันมีค่าเข้าใกล้ศูนย์ แล้วลากเส้นตรงระหว่างจุด P และ Q ก็น่าจะอนุมานได้ว่าเส้นตรงเส้นนั้นจะมีความชันใกล้เคียงกับความชันจริงที่จุด P และก็จะสามารถใช้สมการ (1.0) เพื่อคำนวณหาความชันได้


ถ้าให้กำหนดให้

  1. mP แทนความชัน ณ จุด P

  2. (xP,yP),(xQ,yQ) แทน coordinate จุด P และ Q

  3. h คือระยะห่างระหว่าง P และ Q ในแนวแกน X นั่นคือ xQ=xP+h

จะได้

mP=yQypxPxQmP=f(xQ)f(xP)xPxQ

แทน h เข้าไปแทน xQ

mP=f(xP+h)f(xP)xP(xP+h)(1.1)mP=f(xP+h)f(xP)h

จากแนวคิดที่ว่าไว้ก่อนหน้า mP จะอนุมานว่าเป็นความชัน ณ จุด P ได้ ถ้า h0 ดังนั้นสมการ (1.1) จะสามารถเขียนในรูปของ limits ได้ดังนี้

(1.1)mP=limh0f(xP+h)f(xP)h

จากรูปที่ 1 ถ้าให้ xP=0.35 ความชันที่จุด P คำนวณได้จากการแทนที่ค่า xP ใน (1.1)

mP=limh0f(0.35+h)f(0.35)h=limh0(0.35+h)2f(0.35)h=limh00.352+0.70h+h20.352h=limh00.70h+h2h=limh0(0.70+h)=0.7

ทดสอบตัวเอง ลองคำนวณหาค่าความชัน ณ จุด x = 0.8 ดู


จุด Q อาจอยู่ทางซ้ายของ P (xQ<xP ) หรือทางขวาของ P ก็ได้ (xQ>xP)


จากสมการ (1.1) เขียนใหม่เป็น

(1.2)f(x)=limh0f(x+h)f(x)h

เรียก f(x) ว่า derivative ของ f(x)


*** Derivative is limits ของ differences. ***

*** Derivative เป็น function ที่ใช้หาค่าความชันที่ค่าใดๆของ input (domain) ของ f(x) ***


ตัวอย่าง หา f(x) ของ f(x)=x2

f(x)=limh0f(x+h)f(x)h=limh0(x+h)2x2h=limh0x2+2xh+h2x2h=limh02hx+h2h=limh02x+hf(x)=2x


ตัวอย่าง หา f(x) ของ f(x)=x3

f(x)=limh0f(x+h)f(x)h=limh0(x+h)3x3h=limh0x3+3x2h+3xh2+h3x3h=limh03x2h+3xh2+h3h=limh0(3x2+3xh+h2)f(x)=3x2

ตัวอย่าง หา f(x) ของ f(x)=x1

f(x)=limh0f(x+h)f(x)h=limh0(x+h)1x1h=limh01x+h1xh=limh0x(x+h)x(x+h)h=limh0hx2+xhh=limh01x2+xhf(x)=1x2=x2

จากตัวอย่างข้างต้นเป็นขั้นตอนหรือกระบวนการคำนวณหา f(x) เรียกกระบวนการนี้ว่า differentiation


กระบวนการหา f(x) เรียกว่า differentiation


Notation

คนสำคัญ 2 คนที่มีส่วนในการกำเนิด calculus คือ Newton และ Leibniz ทั้งสองไม่ได้ทำงานร่วมกัน จึงมีการใช้สัญญลักษณ์ต่างกันในความหมายเดียวกัน derivative ก็เช่นเดียวกัน จะพบว่ามีการใช้สัญญลักษณ์มากกว่า 1 แบบ แต่ที่พบได้บ่อยจะเป็น f และ dydx


จาก (1.2) ทั้ง f(x+h),f(x) ในระบบกราฟที่ plot ข้อมูลบนระนาบ 2 แกน x,y จะหมายถึงค่าตามแนวแกน y ดังนั้น อาจเขียนใหม่เป็น Δy ทำนองเดียวกัน h อาจเขียนใหม่เป็น Δx ดังนั้น (1.2) อาจเขียนใหม่เป็น

(1.3)f(x)=limΔx0ΔyΔx=dydx

สิ่งที่ควรทราบ

  ♦ เรียก dy และ dx ว่า differentials


  ♦ dydx ไม่ใช่การหาร เป็นสัญญลักษณ์ของ derivative


  ♦ dydxΔyΔx เมื่อ Δx0 ดังนั้นในบางครั้งจะพบว่ามีการใช้ dydx แบบเดียวกับการใช้เศษส่วนทั่วไป


  ♦ จาก (1.3) จะเห็นว่า f(x)=dydx เป็นมุมมองของ limits เมื่อ Δx0 ไม่ได้หมายความว่าจะทั้งสองจะมีค่าเท่ากันจริง และโดยความเข้าใจทั่วไปจะใช้ทั้ง f(x) และ dydx สลับกันไปมา



กฏของ Differentation


ที่ใช้บ่อย

1. Derivative of constant (zero function) :

dcdx=0,c is constant

2. Derivative of identity function หรือ f(x)=x :

dydx=1

3. Rule of power :

dxndx=nxn1

4. Constant multiple :

dkf(x)dx=kdf(x)dx

5. Sum of functions : กฏข้อนี้ใช้ได้กับทั้งการบวกและการลบ

d(f(x)+g(x))dx=df(x)dx+dg(x)dx

6. Product rule :

d(f(x)g(x))dx=g(x)df(x)dx+f(x)dg(x)dx

7. Quotient rule :

df(x)g(x)dx=g(x)df(x)dxf(x)dg(x)dx(g(x))2

โดยต้องไม่มี x ที่ทำให้ g(x)=0


กฏหรือสูตรพิเศษ

  ♦  ddxex=ex


  ♦  ddxeg(x)=eg(x)ddxg(x)


  ♦  ddxax=axlogea


  ♦  Chain rule : ddxy=dduyddxu



ตัวอย่าง : จงหา derivative ของ functions ต่อไปนี้

(1) f(x)=3x2 d(3x2)dx=3d(x2)dx,(constant multiple)d(3x2)dx=32x,(rule of power)d(3x2)dx=6x


(2) f(x)=x2+3 d(x2+3)dx=d(x2)dx+d3dx,(sum of function)d(x2+3)dx=2x+0,(rule of power and derivative of constant)d(x2+3)dx=2x


3. f(x)=x5+6x7 d(x5+6x7)dx=d(x5)dx+d(6x7)dx,(sum of function)=5x4+6d(x7)dx,(rule of power and constant multiple)d(x5+6x7)dx=5x4+42x6,(rule of power )


4. f(x)=(x+1)(x2+3) d(x+1)(x2+3)dx=(x2+3)d(x+1)dx+(x+1)d(x2+3)dx,(product rule)=(x2+3)(dxdx+d1dx)+(x+1)(dx2)dx+d3)dx),(sum of function)=(x2+3)(1+0)+(x+1)(2x+0)=(x2+3)+2x(x+1)=x2+3+2x2+1d(x+1)(x2+3)dx=3x2+4


5.f(x)=x2+3x42x+1

ddx(x2+3x42x+1)=(2x+1)ddx(x2+3x4)(x2+3x4)d(2x+1)dx(2x+1)2,(quotient rule)=(2x+1)(2x+3)(x2+3x4)(2)(2x+1)2=(4x2+8x+3)(2x2+6x8)(2x+1)2=4x2+8x+32x26x+8(2x+1)2ddx(x2+3x42x+1)=2x2+2x+11(2x+1)2

Higher-order derivative


ถ้า f(x) สามารถหาได้แล้ว และ f(x)=limh0f(x+h)f(x)h ยังคงหาได้ เรียกว่า f(x) ว่า "second derivative " ของ f(x))


และถ้า f(x) สามารถหาได้แล้ว และ f(x)=limh0f(x+h)f(x)h ยังคงหาได้อีก เรียกว่า f(x) ว่า "third derivative " ของ f(x)


จากที่กล่าวมา ไปได้ที่จะสามารถหา derivative ใน order ที่สูงขึ้นไปอีก ตราบที่ derivative ยังคงหาได้ f(x),f(x),...,fn(x) เรียกว่า "higher-order derivative of f(x)


ความหมายของ sencond derivative

  ♦ f(x)=dydx บอกถึงความชัน (slope) ของ f(x) หรือ rate of change ของ f(x) เมื่อเทียบกับ x


  ♦ f(x)=d2ydx บอกถึง rate of change ของ slope เรียกว่า concavity ของ f(x)


  ♦ ถ้า f(x)>0 บอกว่า f(x) มีลักษณะหงายขึ้น (upward, concave up) ถ้า f(x)<0 บอกว่า f(x) มีลักษณะคว่ำลง (downward, concave down)



ตัวอย่าง : จงหา high-order derivative ของ f(x)=5x32x2+6x+1


1) หา f(x)

f(x)=5x32x2+6x+1f(x)=15x24x+6

2) หา f(x)

f(x)=15x24x+6f(x)=30x4

3) หา f(x)

f(x)=30x4f(x)=30

4) หา f(x)

f(x)=30f(x)=0

สรุปได้ว่า f(x)=5x32x2+6x+1 สามารถหา derivative ได้จนถึงระดับที่ 4 หรือ f(x)


ตัวอย่าง : จงหา f(x) และ f(x) ของ f(x)=x31x แล้วหาค่าของ f(3) และ f(4)


หา f(x) เนื่องจากอยู่ในรูปการหาร ใช้ quotient rule

f(x)=xddx(x31)(x31)ddxxx2=x(3x2)(x31)x2=2x3+1x2f(3)=2(3)3+1)32=559

หา f(x) เนื่องจากอยู่ในรูปการหารควรใช้ quotient rule แต่เพื่อลดความยุ่งยาก จะทำการปรับรูปแบบให้อยู่อย่างง่าย

f(x)=2x3+1x2=2x3x2+1x2=2x+x2 f(x)=ddx2x+ddxx2=22x3f(4)=22(4)3=2+132=6532

ความคิดเห็น